รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม เกร็ดความรู้ ความรู้รอบตัว ความรู้ทั่วไป เรื่องน่ารู้ สาระน่ารู้
วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561
ประวัติย่อหลวงปู่คำตัน เนติปาโร
หลวงปู่คำตัน เนติปาโร เกิดวันที่21เดือนมีนาคม 2478ตรงกับวันพุธขึ้น6หกค่ำปีกุล มีพี่น้องร่มมารดา8คนท่านเปนคนหัวปี บิดาชื่อบุญทัน ผลาจันทร์ มารดาชื่อ นาง สงผลาจันทร์ ท่านในตระกูลทำนา มีความสัทธาในพระพุทธศสนา มาตั่งแต่เด็ก ท่านได้อุปสมบท เมื้อวันที่ 12 เดือนมีนาคม 2510 มีความสัทธาในการศึกษา สมถะกรรมฐาน และวิปัสนาเรือ่ยมา อุปนิสัยท่าน เปนคนพูดน้อย ทำการงารอะไรคล่องแคล่วเสมอ ไม่อ่อนข้อต่อนิวรณ คือความเศร้าหมองที่มาทำร้ายจิต ไม่ว่าจะเปนข้อวัตรปฎิบัติ เสมอต้นเสมอปลาย มีแต่ความเมตตาต่อศิษเสมอ ไม่แบง่ชั้นวรรณะ ธรรมะขององท่านจะพูดเสมอว่า ขันติ คือความอดทน โสรัจจะความเสงี่ยมเจียมตน ต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ รักใคร่ในความไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่จะเปนคฤหัส หรือพรรพชิต องท่านไม่ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ เปนพระแบบธรรมดา แก่ๆอยู่ในวัด ศึกษาพระธรรมวินัยของพระพุทธอง องท่านจะพูดเสมอว่า ในชีวิตในการเปนนักบวช ท่านต้องแค่แสวงหาโมกธรรม รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมของพระอริยเจ้าเท่านั้น ลาภ ยศ สรรเสริญ เปนแค่ภาพมายา ทำให้สัตว์โลกหมหมกหมุ่นอยู่ บวชได้พรรษาแรก วันหนึ่งท่านฉันอาหารยุ เกิดท้องไส้ปันป่วนอาเจียนออกมาหมด จนหมดแรง พอวันใหม่ ท่านอาหารคาวอีกอาเจียนออกมาจนหมด ท่านกะเลยตั้งสัจะอธิฐาน ไม่ฉันอาหารคาวตลอดชีวิต ตั้งแต่บัดนั้นมาท่านก็ฉันแต่อาหารมังสวิรัติ ไม่เคยแตะต้อง เลย ตลอดชีวิตท่าน บางพรรษา ท่านทำความเพียร ฉันแต่ผักตลอดพรรรษาา บางพรรษาปิดว่าจาตลอดพรรษา ไม่พูดกับใคร บางพรรษา ท่านถือธุดงไม่นอนตลอดพรรสาคือไม่ยอบเอาแตะพื้นเปนเด็ดขาด มีแต่อริยบถนั่งยืนเดินเท่านั้น ปี2525หวงปู่ได้มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์ถ้ำพุง ญาติโยมได้ทำนั่งร้านภายในถ้ำ นั่งร้านหมายถึงตะแคร่ ทางภาษาอิสานเขาเรียก คื่นนั้นหลวงปู่ได้ไหว้พระสวดมนเสร็จท่านอธิฐานนั่งสมาธิแผ่เมตตา พอทำสมาธิไปได้ซักพักมีงูเขียวตัวใหญ่มาขดตรงมือของท่าน บนตักเลย ท่านได้ลืมตาขึ้นดู ที่แรกก็ตกใจกลัวเหมือนกัน พอตั้งสติได้นั่งกำหนดรู้หลับตาต่อ แผ่เมตตาให้งูเขียวตัวนั้นจิตใจลงสู่อุเบกขาธรรม วางกายและจิต พอถึงใกล้รุ่งของวันใหมจิตถอนขึ้นมางูเขียวตัวนั้นไม่รู้มันหายไปตั้งแต่เมือไหร ท่านเคยเล่าว่าตอนที่ท่านจำพรรษาอยู่ถ้ำพุงใหม่ พอตกกางคืนเคยได้ยินเสียงผีก่องก่อยยุ เคยแผ่เมตตาให้ผีก่องก่อย นับแต่นั้นมาท่านก็ไม่ได้ยินเสียงมันอีกเลย สถานที่ถ้ำพุงแต่ก่อนเปนป่ารกชักดงช้างเสือ ผีดุด้วย เคยมีโยมที่อุปฐากหลวงปู่เข้าไปในถ้ำ ไปด้วยกันสี่คน ไปเจอพระพุทธรูปเนื้อทองเขาได้พากันเอามา หาทางออกไม่ได้เลยจำถำเดินกับไปกับมาวกวน จนคนที่เอาพระพุทธรูปมาต้องเอาไปคืนไว้ที่เดิมจึงพากันออกมาได้ องท่านจำทำตัวเมือนพระบวชใหม่เสมอ กิจอันไดภายในวัด ไม่ว่าจะ กวาดวิหารลานเจดีย์ ตั้งน้ำยุน้ำฉัน เองหมด ถึงแม้องท่านจะไม่ได้เปนพระเกจิชื่อเสียงโด่งดังก็ตาม แต่ศีลจริยวัตรขององท่านงดงามมาเสมอ จนบั้นปลายชีวิตขององท่าน ท่านฉันมื้อเดียวตลอดมา นี้เปนประวัติขงองท่าน ขอน้อมกราบองหลวงปู่ พระผู้เฒ่า พระผู้มีแต่ความมักน้อยสันโดษ สาธุๆๆ
วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560
เหรียญมงคลครอบจักรวาล พุทธคุณดีเด่นในเรื่องทางด้านมหาสิทธิโชค มหาลาภ
เหรียญหลวงปู่คำตัน เนติปาโร รุ่น 1 เป็นเหรียญที่หลวงปู่ตั้งใจปลุกเสกเพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับคณะกรรมการผ้าป่าในปี 2549 ซึ่งเป็นครั้งแรกในการจัดทำพระเครื่องเหรียญที่มีรูปของหลวงปู่เองจึงได้ใส่ใจในพีธีกรรมการปลุกเสก เพ่งกสิณและสวดยัดพุทธคุณหลายบทหลายคาบจึงมีความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังมีพลังอำนาจ พูดได้ว่าปลุกเสกกันแบบหมดไส้หมดพุงกันเลยทีเดียวดังนั้นเหรียญ รุ่น 1 ของหลวงปู่คำตัน เนติปาโร จึงนับได้ว่าเป็นเหรียญมงคลครอบจักรวาลก็ว่าได้แต่พุทธคุณที่หลายคนพบประจักษ์กับตัวเองและเล่าขานต่อๆกันมาคือ พุทธคุณดีเด่นในเรื่องทางด้านมหาสิทธิโชค มหาลาภ ทำมาค้าขาย หมดหนี้หมดสิน มีกินมีเก็บ มีเงินใช้ไม่ขาดสาย มีเงินใช้คล่องมือไม่ขัดสน
ปัจจุบันเหรียญหลวงปู่คำตัน เนติปาโร รุ่น 1 นี้จะมีเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอนิคมน้ำอูนเท่านั้นที่ได้ครอบครองและแต่ละคนก็มักจะหวงแหนเก็บไว้ให้ลูกให้หลาน หลวงปู่คำตัน เป็นพระที่ชาวอำเภอนิคมน้ำอูนให้ความเคารพมากที่สุด เพราะท่านเป็นพระมีชีวิตอยู่อย่างสมถะ แสวงหาความสงบ ความวิเวก และยังเป็นพระนักพัฒนาจัดทำผ้าป่าเพื่อการศึกษาเป็นประจำทุกปี ญาติโยมจึงมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน
วันพุธที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ปีใหม่นี้ไปกราบขอพรหลวงปู่คำตัน เนติปาโร ที่สํานักสงฆ์ถ้ำพุงกัน
ในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ หลายคนที่ไปทำงานต่างจังหวัดแดนไกลคงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อพักผ่อนและเยี่ยมเยือนพ่อแม่ พี่น้อง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าวัดทำบุญตักบาตร เพื่อสร้างสิริมงคลแก่ชีวิตในโอกาสเปลี่ยนรอบปี ซึ่งมักจะถวายสังฆทาน รดน้ำมนต์ สะเดาะเคราะห์ ทำบุญต่ออายุเป็นต้น สำหรับชาวอำเภอนิคมน้ำอูนแล้ว โอกาสเหมาะๆแบบนี้คงหนีไม่พ้นสํานักสงฆ์ถ้ำพุง เพื่อไปกราบไหว้หลวงปู่คำตัน เนติปาโร
หลวงปู่คำตัน เนติปาโร คือพระที่ชาวอำเภอนิคมน้ำอูนให้ความเคารพมากที่สุด เพราะท่านเป็นพระมีชีวิตอยู่อย่างสมถะ แสวงหาความสงบ ความวิเวก และยังเป็นพระนักพัฒนาจัดทำผ้าป่าเพื่อการศึกษาเป็นประจำทุกปี ญาติโยมจึงมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน
วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ประวัติ หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง
หลวงปูเอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูงหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม ( อ่านว่า ปะถะมะนามะ หรือ ปถมนาม ) เกิดในรัชกาลที่ ๒ เมื่อปีฉลู พ.ศ. 2359 เป็นบุตรนายนาค นางจันทร์ โดยมีพี่น้องท้องเดียวกัน รวมด้วยกัน 4 คน คือ
1. หลวงปู่เอี่ยม
2. นายฟัก
3. นายขำ
4. นางอิ่ม
บ้านเกิดของหลวงปู่เอี่ยมอยู่ที่ตำบลบานแหลมใหญ่ ฝั่งใต้ ข้างวัดท้องคุ้ง อำเภอ ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๑ อายุท่านได้ ๒๒ ปี ได้อุปสมบท ที่วัดบ่อ ตำบลปากเกร็ด อำเภอปากเกร็ด (วัดบ่อนี้อยู่คิดกับตลาดในท่าน้ำปากเกร็ด) ท่านอุปสมบท ได้ประมาณหนึ่งเดือน ท่านก็ได้ย้ายไปประจำพรรษาอยู่ที่วัดกัลยาณมิตร ธนบุรีซึ่งในขณะนั้นพระพิมลธรรมพร เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งย้ายมาจากวัดราชบูรณะ พระนคร หลวงปู่เอี่ยมท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม และแปลพระธรรมบทอยู่ที่วัดนี้อยู่ได้ถึง ๗ พรรษาท่านจึงได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๘ อยู่วัดประยูรวงศาวาสได้ ๓ พรรษา ถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๙๑ นายแขก สมุห์บัญชีได้นิมนต์หลวงปู่เอี่ยม ไปจำพรรษาเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นเริ่มแรก และได้ศึกษาอยู่ ๕ พรรษา ถึงปี ๒๓๙๖ ญาติโยมพร้อมด้วยชาวบ้านภูมิลำเนาเดิมในคลองแหลมใหญ่ (ซึ่งปัจจุบันนี้ คือคลองพระอุดม) อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้เดินทางมา อาราธนานิมนต์หลวงปู่เอี่ยม กลับไปปกครองวัดสว่างอารมณ์ หรือวัดสะพานสูง ในปัจจุบันนี้
สาเหตุที่เปลี่ยนชื่อวัดสว่างอารมณ์เดิมมาเป็นชื่อวัดสะพานสูงนั้น มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า ในสมัยนั้นสมเด็จกรมพระยาวชิญาณวโรรส ท่านได้เสร็จไปตรวจการคณะสงฆ์ได้เสด็จขึ้นที่วัดสว่างอารมณ์นี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นสะพานสูงข้ามคลองวัด (คลองพระอุดมปัจจุบันนี้)
ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกวัดสว่างอารมณ์นี้ว่า วัดสะพานสูง จึงทำให้วัดนี้มีชื่อเรียกกัน ๒ ชื่อ ฉะนั้น สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงเห็นว่า สะพานสูงนี้ก็เป็นนิมิตดีประจำวัดประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งชาวบ้านก็นิยมเรียกกันติดปากว่าวัดสะพานสูง จึงได้ประทานเปลี่ยนชื่อวัดสว่างอารมณ์ มาเป็น "วัดสะพานสูง" จนตราบเท่าทุกวันนี้
หลวงปู่เอี่ยม มาวัดสะพานสูงใหม่ๆ ที่วัดนี้มีพระประจำวันพรรษาอยู่เพียง ๒ รูปเท่านั้น
ขณะที่ท่านหลวงปู่เอี่ยม ได้ย้ายมาอยู่วัดสะพานสูงได้ ๘ เดือน ก่อนวันเข้าพรรษาหลวงพิบูลย์สมบัติ บ้านท่านอยู่ปากคลองบางลำภู พระนคร ได้เดินทางมานมัสการหลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่เอี่ยมได้ปรารภถึงความลำบาก ด้วยเรื่องการทำอุโบสถและสังฆกรรม
เนื่องจากสถานที่เดิมได้ชำรุดทรุดโทรมมาก จึงอยากจะสร้างให้เป็นถาวรสถานแก่วัดให้เจริญรุ่งเรือง หลวงพิบูลยสมบัติ ท่านจึงได้บอกบุญเรี่ยไรหาเงินมา เพื่อก่อสร้างโบสถ์ และถาวรสถานขึ้น จึงเป็นที่เข้าใจกันว่าหลวงปู่เอี่ยม ได้เริ่มสร้างพระปิดตาและตะกรุดเป็นครั้งแรก
เพื่อเป็นของชำร่วยแก่ผู้บริจาคทรัพย์และสิ่งของที่ใช้ในการก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรสถาน ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้สร้างศาลาการเปรียญ หลังจากนั้นอีกหลวงปู่เอี่ยมได้สร้างพระเจดีย์ฐาน ๓ ชั้นขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ขณะที่ท่านหลวงปู่เอี่ยม ท่านได้มาอยู่วัดสะพานสูง ท่านได้ไปธุดงค์ไปทางแถบประเทศเขมร
โดยมีลูกวัดติดตามไปด้วยเสมอ แต่ท่านจะให้ลูกวัดออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ๖-๗ ชั่วโมง แล้วจะนัดกันไปพบที่แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วท่านหลวงปู่เอี่ยม ได้ไปพบชีปะขาวชาวเขมรท่านหนึ่งชื่อว่าจันทร์หลวงปู่เอี่ยม จึงได้เรียนวิชาอิทธิเวทย์ จากท่านอาจารย์ผู้นี้อยู่หลายปี จนกระทั่งชาวบ้านแหลมใหญ่นึกว่าท่านออกธุดงค์ไปได้ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว เนื่องจากหลวงปู่เอี่ยม ท่านไม่ได้กลับมาที่วัดหลายปี
จึงได้ทำสังฆทานแผ่ส่วนกุศลไปให้ท่าน ทำให้ท่านหลวงปู่เอี่ยม ทราบในญาณของท่านเอง และท่านหลวงปู่เอี่ยม จึงได้เดินทางกลับมายังวัดสะพานสูง การไปธุดงค์ครั้งนี้ หลวงปู่เอี่ยม ได้ไปเป็นเวลานาน และอยู่ในป่าจึงปรากฏว่าท่านหลวงปู่เอี่ยม ท่านไม่ได้ปลงผม ผมจึงยาวถึงบั้นเอว จีวรก็ขาดรุ่งริ่ง หมวดท่านยาวเฟิ้มพร้อมมีสัตว์ป่าติดตามท่านหลวงปู่เอี่ยม มาด้วย อาทิเช่น หมี, เสือ, และงูจงอาง ฯลฯ
จากการเจริญกรรมฐานนี้ จึงทำให้หลวงปู่เอี่ยมสำเร็จ "โสรฬ" มีเรื่องเล่ากันว่ามีต้นตะเคียนต้นหนึ่งมีน้ำมันตกและดุมากเป็นที่เกรงกลัวแก่ชาวบ้านแถบนั้น หลวงปู่จึงช่วยยืนเพ่งอยู่ 3 วันเท่านั้น ต้นตะเคียนก็เฉาและยืนต้นตาย หลวงปู่เป็นผู้มีอาคมฉมัง วาจาสิทธิ์ มักน้อยและสันโดษ ท่านเป็นต้นแบบในการพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบันนี้ ท่านได้สร้างถาวรวัตถุที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้คือพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาการเปรียญ พระเจดีย์ จึงเป็นที่มาของการสร้างพระปิดตา และตะกรุดโทนมหาโสฬสมงคลอันลือลั่นนั่นเอง
ท่านหลวงปู่เอี่ยม เป็นพระผู้มีอาคมขลัง มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ มักน้อย ถือสันโดษ ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลวงปู่เอี่ยม ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งชาวบ้านและเจ้านายผู้ใหญ่ในพระนครนับถือท่านมากจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่หลวงปู่เอี่ยมจะมรณภาพด้วยโรคชรา นายหรุ่น แจ้งมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดคอยอยู่ปรนนิบัติท่านหลวงปู่เอี่ยมได้ขอร้องท่านว่า “ท่านอาจารย์มีอาการเต็มที่แล้ว ถ้าท่านมีอะไรก็กรุณาได้สั่ง และให้ศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย” ซึ่งท่านหลวงปู่เอี่ยมก็ตอบว่า “ถ้ามีเหตุทุกข์เกิดขึ้นให้ระลึกถึงท่านและเอ่ยชื่อท่านก็แล้วกัน”หลวงปู่เอี่ยมท่านได้มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๙ รวมอายุได้ ๘๐ ปี บวชได้ ๕๙ พรรษา
ก่อนที่ท่านจะมรณภาพได้มีศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นตัวแทนของชาวบ้าน และผู้เคารพนับถือศรัทธา ที่มีและไม่มีของมงคลท่านไว้บูชา กราบเรียนถามหากว่าเมื่อหลวงปู่เอี่ยม ได้มรณภาพแล้วจักทำประการใด ท่านจึงได้มีปัจฉิมวาจาว่า " มีเหตุสุข ทุกข์ เกิดนั้น ให้ระลึกถึงชื่อของเรา"
จึงเป็นที่ทราบและรู้กันว่า หากผู้ใดต้องการมอบตัวเป็นศิษย์หรือต้องการให้ท่านช่วยแล้วด้วยความศรัทธายิ่ง ก็ให้เอ่ยระลึกถึงชื่อของท่าน ท่านจะมาโปรดและคุ้มครองและหากเป็นเรื่องหนักหนาก็บนตัวบวชให้ท่าน รูปหล่อเท่าองค์จริงของหลวงปู่เอี่ยม ท่านประดิษฐานอยู่หน้าพระอุโบสถ สร้าง(หล่อ) ขึ้นเมื่อพ.ศ. 2480 ในสมัยหลวงปู่กลิ่น ผู้ปกครองวัดต่อจากท่าน เพื่อการสักการะบูชา ต่อมาจนทุกๆวันจะมีผู้ศรัทธาจากทุกสารทิศมากราบไหว้และบนบานฯ ตลอดเวลาตราบแสงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า ท่านชอบกระทงใส่ดอกไม้เจ็ดสี จะมีผู้นำมาถวายและแก้บนแทบทุกวันโดยเฉพาะในวันพระแม้แต่ผงขี้ธูปและน้ำในคลองหน้าวัดก็ยังมีความ"ขลัง" อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
และหลังจากที่ท่านมรณภาพล่วงไปเนิ่นนานแล้วก็ตามที ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ผลปรากฏว่าฐานที่ท่าน เคยถ่ายทุกข์เอาไว้และปิดตาย คราวที่เกิดไฟไหม้ป่าช้า ฐานของหลวงปู่เอี่ยม เพียงหลังเดียวเท่านั้นที่ไม่ไหม้ไฟ
เมื่อความอัศจรรย์ปรากฏขึ้นเช่นนั้น ผู้คนจึงค่อยมาตัดเอาแผ่นสังกะสีไปม้วนเป็นตะกรุดจนหมดสิ้น นอกจากนั้นแล้ว ยังมารื้อเอาตัวไม้ไปบูชาจนไม่เหลือหรอ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ไม่ได้อะไรเลยก็มาขุดเอาอุจจาระของท่านไปบูชา
วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
วิธีตรวจเช็ค Power Supply เบื้องต้นว่าเสียหรือไม่
เพาเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างมากต่ออุปกรณ์เกือบทุกตัวในระบบคอมพิวเตอร์ ซัพพลายของคอมพิวเตอร์นั้นมีลักษณะการทำงาน คือทำหน้าที่แปลงกระแสไฟฟ้าจาก 220 โวลต์ เป็น 3.3 โวลต์, 5 โวลต์ และ 12 โวลต์ ตามแต่ความต้องการของอุปกรณ์นั้นๆ โดยชนิดของพาวเวอร์ซัพพลาย
บทความนี้ผมจะมาแนะนำวิธีตรวจเช็คเพาเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) เบื้องต้น เพาเวอร์ซัพพลายถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก เมื่อเพาเวอร์ซัพพลายไม่ปกติอาการต่างเหล่านี้จะตามมาเช่น เปิดไม่ติด, รีสตาร์ทตลอดเวลา, ไฟติดแต่จอดับ เป็นต้น
อันดับแรกให้ถอด เพาเวอร์ซัพพลายออกจากเคส และเตรียมไฟยาวประมาณ 2-3 นิ้วแล้วปลอกเปลือกหุ้มหัวท้าย
ก่อนที่จะเริ่มตรวจเช็คให้เสียสายไฟบ้าน 220 V. เข้าเพาเวอร์ซัพพลายเสียก่อน
จากนั้นหยิบหัวเสียบ(connector) ที่ใช้ต่อเข้ากับเมนบอร์ดขึ้นมาดูและมองหาสายสีเขียว และสายสีดำ
พาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ในเวอร์ชันแรกๆ ใช้หัวต่อแบบ 20 ขา และพาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้มีสายสำหรับเปิดปิด อันทำให้สามารถปิดพาวเวอร์ซัพพลายด้วยซอฟต์แวร์ได้
เนื่องจากซีพียูสมัยใหม่ต้องการพลังงานมากขึ้น จึงได้มีการเพิ่มหัวต่อให้กับพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX กล่าวคือ หัวต่อ 12V แบบเพิ่มมาอีก 4 ขา
เตรียมไฟยาวประมาณ 2-3 นิ้วแล้วปลอกเปลือกหุ้มหัวท้ายออก หรือจะใช้ลวดเสียบกระดาษก็ได้
จากนั้นนำสายไฟที่เตรียมไว้เสียบเข้าไปที่ขาที่มีสายไฟสีเขียว และปลายสายไฟอีกข้างเสียบเข้าที่ขาที่มีสายไฟสีดำ(ขาไหนก็ได้ที่มีสายไฟสีดำ)
ถ้าพัดลมของพาวเวอร์ซัพพลายหมุนปกติก็แสดงว่าพาวเวอร์ซัพพลายนั้นยังใช้งานได้อยู่ แต่ถ้าพัดลมไม่หมุนหรือหยุดๆ หมุนๆแสดงว่าพาวเวอร์ซัพพลายนั้นมีปัญหาแล้วเตรียมเปลี่ยนใหม่ได้เลย
วิธีตรวจเช็ค Power Supply ดังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงวิธีตรวจเช็คเบื้องต้นเท่านั้นนะครับ
บทความนี้ผมจะมาแนะนำวิธีตรวจเช็คเพาเวอร์ซัพพลาย (Power Supply) เบื้องต้น เพาเวอร์ซัพพลายถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญต่อคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก เมื่อเพาเวอร์ซัพพลายไม่ปกติอาการต่างเหล่านี้จะตามมาเช่น เปิดไม่ติด, รีสตาร์ทตลอดเวลา, ไฟติดแต่จอดับ เป็นต้น
อันดับแรกให้ถอด เพาเวอร์ซัพพลายออกจากเคส และเตรียมไฟยาวประมาณ 2-3 นิ้วแล้วปลอกเปลือกหุ้มหัวท้าย
ก่อนที่จะเริ่มตรวจเช็คให้เสียสายไฟบ้าน 220 V. เข้าเพาเวอร์ซัพพลายเสียก่อน
จากนั้นหยิบหัวเสียบ(connector) ที่ใช้ต่อเข้ากับเมนบอร์ดขึ้นมาดูและมองหาสายสีเขียว และสายสีดำ
พาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX ในเวอร์ชันแรกๆ ใช้หัวต่อแบบ 20 ขา และพาวเวอร์ซัพพลายแบบนี้มีสายสำหรับเปิดปิด อันทำให้สามารถปิดพาวเวอร์ซัพพลายด้วยซอฟต์แวร์ได้
เนื่องจากซีพียูสมัยใหม่ต้องการพลังงานมากขึ้น จึงได้มีการเพิ่มหัวต่อให้กับพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX กล่าวคือ หัวต่อ 12V แบบเพิ่มมาอีก 4 ขา
เตรียมไฟยาวประมาณ 2-3 นิ้วแล้วปลอกเปลือกหุ้มหัวท้ายออก หรือจะใช้ลวดเสียบกระดาษก็ได้
จากนั้นนำสายไฟที่เตรียมไว้เสียบเข้าไปที่ขาที่มีสายไฟสีเขียว และปลายสายไฟอีกข้างเสียบเข้าที่ขาที่มีสายไฟสีดำ(ขาไหนก็ได้ที่มีสายไฟสีดำ)
ถ้าพัดลมของพาวเวอร์ซัพพลายหมุนปกติก็แสดงว่าพาวเวอร์ซัพพลายนั้นยังใช้งานได้อยู่ แต่ถ้าพัดลมไม่หมุนหรือหยุดๆ หมุนๆแสดงว่าพาวเวอร์ซัพพลายนั้นมีปัญหาแล้วเตรียมเปลี่ยนใหม่ได้เลย
วิธีตรวจเช็ค Power Supply ดังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงวิธีตรวจเช็คเบื้องต้นเท่านั้นนะครับ